เมื่อเสียงที่ไม่ได้อยากฟัง มันดังกว่าทุกสิ่งอย่าง (SNR ตอนที่ 2)
- 28 พ.ย. 2564
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 29 พ.ย. 2564

ปัญหาคลาสสิกของการใช้เครื่องช่วยฟังคือ การฟังในที่ ๆ มีเสียงรบกวน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะกับเราที่มีปัญหาการได้ยิน แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคน ในทุกวัน และทุกสถานการณ์
รวมทั้งคนที่มีการได้ยินระดับดีเยี่ยมด้วยเช่นกันครับ
เราเคยสงสัยไหมครับว่าทำไม...
นักข่าวถึงต้องถือไมโครโฟนแล้วพยายามแย่งกันเอาไปจ่อที่ปากของท่านนายกฯ
ผู้ประกาศข่าวที่น่าจะอยู่ในห้องส่งเงียบต้องมีไมโครโฟนเล็ก ๆ ติดไว้ที่เสื้อ
รถยนต์ของเราต้องปิดประตู ปิดกระจกได้สนิทขนาดนั้น
คนที่ขึ้นรถไฟฟ้าต้องใส่หูฟังเพื่อฟังเพลง
หรือทำไม...
นักข่าวไม่ยืนกันให้เป็นระเบียบเวลานายก ฯ ให้สัมภาษณ์
กล้องที่ใช้ถ่ายทำรายการมันถึงไม่มีมีไมโครโฟนในตัว ขนาดมือถือเรายังมีเลย
ขับรถเปิดกระจกฟังเพลงตอนที่ไปเที่ยวไม่ได้
เราถึงไม่เปิดเพลงจากลำโพงมือถือบนรถไฟฟ้าไปพร้อม ๆ กัน
จริงไหมครับ ที่ปัญหาการเรื่องเสียงที่ อยากฟัง ไม่อยากฟัง มันอยู่กับเราทุกคนมาตลอดเพียงแต่เราไม่ได้มองมันในมุมที่เป็นอุปสรรค จนกระทั่งเรามีปัญหาการได้ยิน ... ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
บทความแนะนำ SNR เรื่องที่ต้องรู้สำหรับคนใช้หูฟัง
สาเหตุที่ทำให้เราต้องการ SNR ที่มากกว่าคนอื่นเมื่อเรามีปัญหาการได้ยินรอติดตามเร็ว ๆ นี้นะครับ
ตอนที่แล้วที่เราได้คุยกันถึงสาเหตุ คราวนี้เลยอยากจะมาเล่าถึงวิธีการจัดการปัญหาแบบชิล ๆ
(เหมือนที่นักข่าว ผู้โดยสารรถไฟฟ้า หรือใครที่มีรถทำกัน) ให้ฟังนะครับ
เวลาที่เสียงอื่น ๆ มันดังกว่าเสียงที่เราอยากฟัง
มันมักเกิดขึ้นในเวลาที่เราต้องฟังเรื่องสำคัญเสมอไม่รู้ทำไม แต่มันมีเทคนิคในการจัดการกับปัญหานี้อยู่ไม่กี่อย่าง ประมาณนี้ครับ
ลดระยะห่าง
วางแผนล่วงหน้า / ควบคุมสภาพแวดล้อม
ปรับคุณภาพเสียงให้ดีตั้งแต่ที่ต้นทาง
ใช้เทคโนโลยีช่วย
ลดระยะห่าง - อย่างที่เรารู้กันจากตอนที่แล้วว่ายิ่งเราอยู่ห่างจากคนที่พูดกับเรามากเท่าไหร่ เสียงของเขาก็จะเบาลง เบาลง จนกระทั่งคำพูดของเขาดังเท่ากับเสียงอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแบบนี้คงฟังยากทีเดียว ดังนั้นหากเป็นไปได้พยายามลดระยะห่างระหว่างเขากับเราให้ได้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงการหันหน้ามาคุยกันตรง ๆ ด้วยนะครับ เพราะเส้นทางที่สั้นที่สุดสำหรับเสียงในการเดินทางมาถึงหูของเราก็คือ
เส้นตรงที่ลากจาก ปากเขา มาที่ หูเรา
วางแผนล่วงหน้า / ควบคุมสภาพแวดล้อม - การที่เรารู้ว่าเราต้องเข้าไปในสถานที่ลักษณะไหน ต้องไปเจอกับใครล่วงหน้ามีประโยชน์มากในการที่จะช่วยให้เราสามารถนึกภาพไว้ก่อนว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟังของเรามากที่สุด เช่น
ถ้าผมรู้ว่าเย็นนี้ผมต้องไปทานข้าวกับลูกค้าและเจ้านายที่ร้านอาหารไทยในตึกออฟฟิศ
ผมสามารถโทรไปจองโต๊ะที่อยู่มุมด้านในฝั่งกระจกที่ค่อนข้างเงียบและมีแสงสว่างเพียงพอ เพราะเวลาที่ผมไปถึงก่อนเวลา 10 นาที ผมจะเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นปากของลูกค้าและเจ้านายได้ถนัดที่สุด
และจะแอบไป tips พนักงานในร้านไว้ก่อน เพื่อบอกเค้าว่าผมมีปัญหาการได้ยิน ตอนที่รับออเดอร์ให้รับจากสองท่านที่นั่งตรงข้ามผมได้เลย ส่วนผมจะรับเป็นข้าวผัดน้ำพริกกับโค้ก
ถ้ามีอะไรคุยกับผมสะกิดผมก่อนนิดนึงมันจะช่วยให้ผมได้เตรียมตัวและจะฟังได้ง่ายขึ้นมาก
ขอบคุณนะครับ :)
ผมเชื่อว่าอาหารค่ำของผมจะผ่านไปด้วยดี หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าการที่ผมไปถึงร้านแล้วปล่อยให้สถานการณ์ต่าง ๆ กำหนดว่าผมจะฟังได้หรือไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ผมสามารถจัดการมันได้ล่วงหน้า
ปล. มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่นักข่าวไปเตรียมอุปกรณ์ถ่ายทำก่อนเวลาที่ท่านนายก ฯ จะเดินทางมาถึง จริงไหมครับ
ปรับคุณภาพเสียงให้ดีตั้งแต่ที่ต้นทาง - คุณคิดว่าแม่ค้าขายข้าวแกง หรือพี่วินมอเตอร์ไซค์จะพูดกับผมแตกต่างกันอย่างไรระหว่างการที่เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการได้ยินและเครื่องช่วยฟังของผม กับ ถ้าผมบอกเขาก่อนเลยว่า พี่ครับ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับหูแต่ผมมีเครื่องช่วยฟังครับ ถ้าพี่ช่วยพูดกับผมช้าลงนิดนึงจะช่วยให้ผมฟังพี่ได้ง่ายขึ้นมาเลยครับ ขอบคุณพี่ล่วงหน้า รบกวนด้วยนะครับ :)
คิดเหมือนผมไหมว่า อันหลังน่าจะฟังง่ายกว่ากันเยอะเลย (เทคนิคการเพิ่มคุณภาพเสียงตั้งแต่ต้นทางคือ ช่วยให้คนคุยกับเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการได้ยินมากขึ้น) ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ไม่ยอมปรับวิธีการพูดนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อช่วยให้การฟังของเราเป็นไปอย่างราบรื่นครับ
ใช้เทคโนโลยีช่วย - เทคโนโลยีของเครื่องช่วยฟังตลอดประวัติศาสตร์ของเครื่องช่วยฟังคือความพยายามในการทำให้เสียงคำพูดชัดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงอื่น ๆ ด้วย แต่ดูเหมือนจะมีเพียงไมโครโฟนที่สามารถรับเสียงเป็นมุมแคบ ๆ แทนที่จะรับเสียงจากทุกทิศทางที่พอจะช่วยให้เสียงที่เราไม่อยากฟังมันเบาลงไปบ้าง ส่วนเทคโนโลยีสำหรับลดเสียงรบกวนอื่น ๆ อาจจะมีประโยชน์ในเรื่องของความสบายเสียมากกว่า
(อาจจะพอช่วยให้เราฟังง่ายขึ้นบ้างแต่ไม่ได้เปลี่ยน SNR ) ซึ่งเทคโนโลยีในส่วนนี้ก็แล้วแต่แบรนด์ไหนจะเรียกว่าอะไร แต่ถ้าเอาตามหลักการแล้วก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง (อัลกอริทึมประมวลผล หรือ DSP)
เช่น
Autosensitivity - เหมือนมีคนตัวเล็ก ๆ คอยปรับความไวในการรับเสียงของไมโครโฟนให้สัมพันธ์กับความดังของเสียง ณ ขณะนั้น
Adaptive dynamic range optimization - เหมือนเอาเสียงที่เข้ามาเทใส่เครื่องแยกความถี่ (นึกถึงเครื่องคัดขนาดลำไยก็ได้ครับ ลูกเล็กไปนี่ ลูกใหญ่ไปนั่น) ก่อนที่จะมาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลว่าหน้าตาของเสียงที่เข้ามามันเหมือนเสียงคนพูดหรือเหมือนอย่างอื่น แล้วค่อยปรับเพิ่มหรือลดให้เหมาะสม
Autogain control - คล้าย ๆ กับ Autosensitivity แต่เป็นการเพิ่มลด กำลังขยายแทนที่จะเป็นความไวในการรับเสียง
Directional/Adaptive directional microphone - ไมโครโฟนที่สามารถรับเสียงน้อยในทิศทางที่ไม่มีคนพูด เพื่อเพิ่มความแตกต่างของเสียงคนพูดและเสียงอื่น ๆ ให้มากขึ้นครับ (อันนี้ช่วยเพิ่ม SNR ได้จริงครับ)
และอีกอันที่ผมคิดว่ามีประโยชน์แต่เราไม่ค่อยใช้กันมากนักคือ
การเอาไมโครโฟนไปฝากไว้กับคนที่กำลังพูดเลย
Comments